445789 จำนวนผู้เข้าชม |
อย่างที่ทุกคนรู้กัน สำหรับขมิ้น เป็นสมุนไพรที่ทุกคนนำมาใช้ ตั้งแต่สมัยอดีตจนถึงปัจจุบัน ซึ่งในปัจจุบัน ขมิ้นก็ถูกนำไปแปรรูป แล้วก็มีการพัฒนาเพื่อให้ง่ายต่อการรับประทาน แล้วก้อเห็นผลเร็วที่สุด
ทำไมขมิ้นถึงสามารถรักษาโรคได้อย่างหลากหลายแล้วก็ได้รับการยอมรับอย่างมาก และขมิ้นสามารถช่วยรักษาในกลุ่มของอาการอะไรบ้าง วันนี้พลอยเองก็ได้นำสาระน่ารู้เหล่านี้ มาฝากทุกคน ถ้าอยากได้ข้อมูลเพิ่มเติมสามารถกดสอบถามผ่านทีมงานเภสัชกรของเราได้โดยตรงเลยค่ะ
สาเหตุที่ ขมิ้นชัน สามารถรักษาโรค ได้อย่างหลากหลาย ก็เป็นเพราะว่าสารสำคัญในขมิ้น สามารถช่วยป้องกันโรคตั้งแต่ต้นเหตุ แถมยังอุดมไปด้วยวิตามิน และแร่ธาตุ ที่จำเป็นต่อร่างกายเป็นอย่างมาก
ที่สำคัญในขมิ้นเองยังมีสารสำคัญอย่าง เคอร์คูมินอยด์ (Curcuminoid) ที่สามารถช่วยลดอาการอักเสบภายในร่างกายได้ ภาวะการอักเสบภายในร่างกายเป็นตัวการหลักสำคัญ ที่จะทำให้เราเกิดโรคต่างๆมากมาย เคอร์คูมินอยด์ช่วยต้านอนุมูลอิสระ ช่วยดูแลฟื้นฟูภายในร่างกายของเราได้เป็นอย่างดี
สาเหตุที่ขมิ้นได้รับการยอมรับเป็นอย่างมาก ก็เป็นเพราะว่าขมิ้น มีการศึกษาและงานวิจัยเป็นหมื่นงานวิจัย ทั้งในประเทศไทยเองและต่างประเทศ และยังเป็นที่ยอมรับด้วยว่า ตัวขมิ้นเป็นพืชสมุนไพรที่มีความปลอดภัยสูงอย่างมาก
1.กระเพาะอาหาร
สำหรับอาการแรก คืออาการของโรคกระเพาะอาหาร สาเหตุหนึ่งของการเกิดโรคกระเพาะอาหาร มีสาเหตุมาจากการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร ซึ่งเมื่อปี 2010 ที่โรงเรียนแพทย์ที่ประเทศอินเดีย ได้ออกมาอธิบายถึงสาเหตุที่ทำให้เกิดแผลในกระเพาะอาหารว่า
2.ระบบทางเดินอาหาร
อาการต่อมาก็คืออาการของโรคทางเดินอาหาร ซึ่งข้อมูลจากสำนักข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ทำการเขียนบทความวิจัยที่ทำการรวบรวมงานวิจัย เกี่ยวกับขมิ้นชันมาสรุปไว้ว่า
"ขมิ้นชันสามารถที่จะขับลมบรรเทาอาการท้องอืดท้องเฟ้อ ในกลุ่มของผู้ป่วยที่มีอาการอาหารไม่ย่อย แถมยังสามารถช่วยกระตุ้นการหลั่งน้ำดี ที่มีส่วนช่วยในเรื่องของการย่อยอาหาร นอกจากนี้เคอร์คูมิน ยังสามารถช่วยป้องกันการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร ด้วยกลไกที่จะเข้า ไปกระตุ้นการหลั่งเมือกมิวซิน ให้มาเคลือบกระเพาะอาหารและช่วยยับยั้ง การหลั่งกรดและน้ำย่อยในกระเพาะอาหารได้อีกด้วย"
3.อาการข้อเข่าเสื่อม
สำหรับกลุ่มอาการต่อมา ที่ขมิ้นชันสามารถที่จะช่วยบรรเทาอาการได้ นั่นก็คือกลุ่มอาการของข้อเข่าเสื่อม ในปี 2013 มหาวิทยาลัยและโรงพยาบาลที่ฝรั่งเศส ได้ทำงานวิจัยเกี่ยวกับโรคข้อเข่าอักเสบว่า
และก็มีการทดลองในประเทศอิตาลี กับกลุ่มผู้ป่วยที่ข้อเข่าเสื่อม จำนวนห้าสิบคนพบว่า
4.ลดระดับน้ำตาลภายในเลือด, ลดไขมันในเลือด, เบาหวาน
กลุ่มอาการต่อมาที่ขมิ้นชันสามารถที่จะช่วยได้คือ ช่วยลดระดับน้ำตาลภายในเลือด สำหรับงานวิจัยนี้ เป็นของมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒได้ระบุไว้ว่า
"ขมิ้นชัน สามารถที่จะช่วยลดเบาหวานในผู้ป่วยได้ถึง 240 คน เลยทีเดียว"
แต่ในงานวิจัยนี้ ยังไม่มีการระบุชัดเจนว่า มีกลไกจากขมิ้นที่เข้ามาช่วย เราเลยได้ทำการหาข้อมูลเพิ่มเติม ในส่วนของงานวิจัยของทางต่างประเทศ เพื่อช่วยให้เราเข้าใจมากขึ้น ในวารสารต่างประเทศ ได้เขียนอธิบายงานทดลองนี้ว่า
ก่อเกิดภาวะดื้ออินซูลิน น้ำตาลในเลือดของเราก็จะสูงมากขึ้น เราก็จะเสี่ยงที่จะเป็นโรคเบาหวาน ดังนั้นเมื่อเราทานขมิ้นชันเข้าไปแล้ว นอกจากจะช่วยลดไขมันในเลือดได้แล้ว ก็ยังสามารถที่จะช่วย ลดภาวะดื้ออินซูลิน และทำให้กลูโคลสเข้าไปเลี้ยงเซลล์ ทำให้เซลล์ทำงานได้ดีมากยิ่งขึ้น จึงช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้นั่นเอง
5.ลดความเป็นพิษในตับ
สำหรับกลุ่มอาการต่อมาสำหรับขมิ้นชัน ก็สามารถที่จะช่วยลดความเป็นพิษต่อตับให้กับเราได้อีกด้วย สำหรับกลไกที่สามารถที่จะเข้าไปช่วยลดความเป็นพิษต่อตับ ให้กับเราได้นั่นก็คือ การต้านอนุมูลอิสระ และการกระตุ้นเอนไซม์ Catalase ในร่างกายของเรา จึงสามารถที่จะเข้าไปช่วยล้างสารพิษออกจากร่างกายโดยจากงานวิจัยพบว่า
6.มะเร็ง
และกลุ่มอาการต่อมาที่ขมิ้นชันสามารถช่วยได้ โรคนี่สำคัญมาก และคนไทยเป็นกันเยอะ นั้นก็คือโรคมะเร็ง สำหรับโรคมะเร็งเมื่อปี 2016 มีการรวบรวมงานวิจัย เกี่ยวกับขมิ้นชันมากกว่าหนึ่งร้อยงาน ที่มหาวิทยาลัยเวย์นสเตทมิชิแกนว่า
แต่ก็ต้องอาศัยการรับประทานอย่างต่อเนื่อง และต่อการรับประทานต่อมื้อ ก็ต้องมีโดสในการรับประทานที่สูงกว่า กลุ่มอาการอื่นๆ ด้วย
ข้อควรระวัง
และสำหรับข้อควรระวังในการที่จะใช้ขมิ้นชัน ก็จะมีหลักอยู่ 2 โรค
1.ผู้ป่วยเป็นนิ่วในถุงน้ำดีไม่ควรรับประทาน
สำหรับโรคแรก คือคนที่มีโรคประจำตัวเป็นนิ่วในถุงน้ำดี เพราะว่าขมิ้นชัน สามารถที่จะเข้าไปช่วยขับนิ่วที่มีอยู่ในร่างกาย ฉะนั้นคนที่เป็นนิ่วอยู่แล้ว ถ้ารับประทานเข้าไป ขมิ้นชันก็จะเข้าไปขับ ก้อนนิ่วที่มีอยู่ในร่างกายของเรา ซึ่งจังหวะที่ขับก้อนนิ่วออกมา ก็จะทำให้มีอาการปวดมาก ดังนั้นจึงไม่เหมาะ ถ้าคนที่เป็นนิ่วทานขมิ้นชัน แต่จะดีมาก สำหรับคนที่ยังไม่เป็นนิ่ว และรับประทานขมิ้นไป ขมิ้นก็จะเข้าไปช่วยในการป้องกันการเกิดนิ่วให้กับร่างกายของเราได้
2.ผู้ป่วยเป็นนิ่วในถุงไตไม่ควรรับประทาน
และโรคที่สอง นั่นก็คือ โรคนิ่วในไต สำหรับในขมิ้นชันเอง นอกจากจะมีสารสำคัญอย่างเคอร์คูมินอยด์ ยังจะมีสารออกฤทธิ์สูงมากๆ ฉะนั้นคนที่เป็นนิ่วในไตไม่เหมาะมากเลยที่จะได้รับ สารออกซาเลต เข้าไปเพิ่มในร่างกาย
ฉะนั้นก็จะมีอยู่สองโรค ที่ไม่ควรที่จะรับประทานขมิ้นชัน และในการรับประทานขมิ้นชันให้เห็นผล ก็จะแนะนำให้รับประทานอยู่ที่ วันละสองแคปซูลเป็นมื้อเช้า และมื้อเย็น จะเป็นหลังอาหารทันที หรือหลังอาหารสิบห้านาทีก็ได้
ขมิ้นผงดูดซึมได้น้อยกว่าขมิ้นสกัดในน้ำมัน
สำหรับในการรับประทานส่วนใหญ่แล้ว เราจะเจอผลิตภัณฑ์ขมิ้นชันในรูปแบบของขมิ้นผง แต่สำหรับผลิตภัณฑ์ขมิ้นผงเองก็ได้มีงานวิจัยจากภาควิชาเภสัชวิทยาของวิทยาลัยเซนต์จอห์นบัปที่ประเทศอินเดีย ได้ทำการศึกษากับกลุ่มอาสาสมัคร
"ให้กลุ่มอาสาสมัคร รับประทานขมิ้นชันผงเข้าไป พอผ่านไปหนึ่งชั่วโมงแล้ว ก็ทำการตรวจหาสารเคอร์คูมินอยด์ในเลือด พบว่าสารเคอร์คูมินอยด์น้อยมาก แสดงว่ามีการดูดซึมได้น้อย"
ขมิ้นผงดูดซึมได้ดีขึ้นเมื่อรับประทานคู่กับพริกไทย
แต่เมื่อทำการให้อาสาสมัคร รับประทานขมิ้นชันผงควบคู่กับพริกไทย ปรากฏว่าสารเคอร์คูมินอยด์ในขมิ้นถูกดูดซึมได้ดีเพิ่มขึ้นเป็นสามเท่าเลยทีเดียว ฉะนั้นการรับประทานขมิ้นให้เห็นผล ก็แนะนำให้ลองหาพริกไทยมารับประทานควบคู่กันดู
การรับประทานพริกไทยมากอาจมีผลกับคนเป็นโรคกระเพาะ
แต่ถ้าใครอยากจะทานขมิ้น เพื่อที่จะเข้าไปดูแลและบรรเทาอาการในกลุ่มของอาการอาการแผลในกระเพาะ หรือโรคกระเพาะอาหาร ท่าทานพริกไทยเข้าไปด้วย ก็จะยิ่งทำให้มีอาการรุนแรงเพิ่มมากขึ้น ฉะนั้นลองเปลี่ยนจากกลุ่มขมิ้นผงเป็นกลุ่มขมิ้นสกัดที่อยู่ในรูปแบบ Oil (น้ำมัน) จะดีกว่า จะช่วยบรรเทาอาการได้ดีมากกว่า และไม่ทำให้อาการรุนแรงเพิ่มมากขึ้นด้วย
ขอบคุณที่ติดตาม
คิดว่าทุกคนน่าจะได้สาระน่ารู้ดีไปกันเยอะเลยสำหรับใครนะคะอยากจะให้เรามาแนะนำหรือนำความรู้ดีๆเรื่องไหนมาบอกกล่าวกันก็สามารถที่จะคอมเม้นใต้วีดีโอนี้ไว้ได้เลยนะคะ หรือสามารถปรึกษาสอบถามเพิ่มเติมด้วยเหมือนกันสำหรับวันนี้ขอบคุณมากเลยนะค่ะสวัสดีค่ะ
สารสกัดจากขมิ้น | 52.63 | มก. (curcumin> 95.0%) |
น้ำมันรำข้าว | 100 | มก. |
แกมมาโอริซานอล (100%) | 50 | มก. |